ในอดีตร้านค้าเพชรส่วนใหญ่ในเมืองไทยจะมีแต่ใบรับรองของร้านออกให้ บวกกับการพัฒนาด้านความรู้ไม่ทั่วถึง....คนไทยเองเกิดความคุ้นเคยจึงชินจนเกิดเป็นประเพณีในการซื้อขายเพชร ซึ่งหลายต่อหลายคนไม่ใส่ใจกับใบเซอร์ หรือใบรายงานคุณลักษณะของเพชร (Diamond certificate หรือ Diamond report) บางคนไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าคืออะไร? ใบอะไร? สมาคมอารายเนี่ย? ไว้ใจได้มั้ยเนี่ย? “Sumali เจอมาแล้ว...ตอนแรกๆ ก็...งอ...งู...2...ตัว เหมือนกันค่ะ เอ๊!...ทำไมเค้าถึงไม่รู้จักใบพวกนี้....แถบยังถามอะชั้นว่า...เป็นแบรนเนมยี่ฮ้อดังจากยุโรปรึเปล่า?....ก็อยากจะตะโกนกรอกหูพวกเค้าเหมือนกันว่า...ใบเหล่านี้มีความสำคัญมาก ซึ่งมาจากองค์กรอิสระระดับโลก ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับการซื้อขายเพชร หรือได้รับอิทธิพลและถูกชี้นำจากกลุ่มผู้ขายใดๆ ทั้งสิ้น เป็นองค์กรซึ่งไม่มุ่งหวังผลกำไร เฉพาะเจาะจงมุ่งพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ออกกฏเกณฑ์ต่างๆ ให้เป็นมาตราฐาน เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพ คุณค่า ความสวยงามของเพชร และออกใบรับรอง รายงานคุณลักษณะเพชรโดยผ่านขบวนการ ขั้นตอนที่เป็นมาตราฐานสากล เป็นที่ยอมรับ และได้รับการเคารพจากบรรดากลุ่มอุตสาหกรรมเพชรทั่วโลก องค์กรเหล่านี้ไม่สามารถที่จะทำระบบการตลาดเพื่อมุ่งหวังผลกำไรได้ องค์กรเหล่านี้ยิ่งใหญ่กว่าแบรนเนมที่คุณรู้จักกันเสียอีก”....แต่กลัวถูกด่า..แถบอาจโดนสัมผัสฝ่ามือพญายมกลับด้วยค่ะ...คริ คริ” ส่วนเวลาที่เราอยากจะแปลงรูปเพชรที่ซื้อมาโดยไม่มีใบเซอร์เป็นเงินสดยามที่เราคับขัน หรืออยากจะแปรเปลี่ยนชิ้นใหม่ให้ใหญ่ขึ้นดีขึ้น จึงถูกกดราคาเนื่องจากในตอนแรกที่ซื้อเพชรมาโดยใช้แค่คำพูด ความเชื่อใจ และก็มีแค่ใบรับรองจากร้านค้า พ่อค้าแม่ค้าผู้ซื้อต่อจากเราก็ย่อมพูดต่างๆ นาๆ โน่นนี่นั้น ล้วนแต่เป็นผลในเชิงกดราคาเราทั้งสิ้น “สรุป...ของตูสวยๆ...พูดจนของตูเป็นขยะอวกาศไปเลย” คริ คริ.....ระยะห่างของมูลค่าในตอนซื้อกับขายจึงห่างกันมากเหลือเกิน ราคาจะถูกกดลงไปถึง 50-70%
ซึ่งมาจากองค์กรอิสระระดับโลก ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับการซื้อ
ขายเพชร หรือได้รับอิทธิพล และถูกชี้นำจากกลุ่มผู้ขายใดๆ ทั้งสิ้น เป็น
องค์กรซึ่งไม่หวังผลกำไร และเฉพาะเจาะจงมุ่งพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ
ออกกฏเกณฑ์ต่างๆ ให้เป็นมาตราฐาน เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพ คุณค่า
ความสวยงามของเพชร และออกใบรับรอง รายงานคุณลักษณะเพชร
โดยผ่านขบวนการ ขั้นตอนที่เป็นมาตราฐานสากล เป็นที่ยอมรับ และ
เคารพจากบรรดากลุ่มอุตสาหกรรมเพชรทั่วโลก
ลองมาพูดถึงในอเมริกากันบ้างค่ะ.....ก็คล้ายๆ กับเมืองไทย เม็ดเล็กๆ เช่น ต่างหูคู่ไม่ใหญ่มาก แหวนเพชรแถว ทางร้านก็จะออกใบให้ อาจเขียนลงไว้ในใบเสร็จว่า น้ำหนักทองและเพชรเท่าไหร่ ใช้ทองกี่ K (อเมริกามีกฎหมายว่าด้วย เครื่องประดับที่ทำเป็นทองจะต้องเริ่มใช้ทอง 10k ขึ้นไป...อเมริการมักนิยมใช้ 14k เมืองไทยนิยมใช้ 18k) เพชรน้ำอะไร ความสะอาดขนาดไหน แต่ก็มีข้อสังเกตุนะคะ.....เค้าอาจเขียนว่า H-I vs2-si1 ซึ่งเป็นการใช้เพชรคุณภาพของสี 2 ระดับ และคุณภาพของความสะอาด 2 ระดับ ในกรณีนี้....เนื่องจากต้องการลดต้นทุนการผลิต เพื่อจะได้จัดละดับสินค้าไปสู่ตลาดล้าง สามารถให้ผู้บริโภคอีกกลุ่มนึงได้มีโอกาสจับจ่ายใช้สอยกัน ส่วนมากที่เคยเห็นก็ใน China Town ( Sumali จะยังไม่พูดถึงเกี่ยวกับเพชรที่เกรดต่ำไปกว่านี้นะคะ....เอาไว้ถึงหัวข้อเกี่ยวกับรหัสสี และความสะอาดก่อน จะได้เล่นกันตั้งแต่สี D ถึง Z เลย และ ความสะอาด FL-FI ถึง I3 ค่ะ) “อ้าว!....แล้วสี ABC ไปอยู่ไหนเนี่ย?”
ตารางระดับน้ำ หรือ สี (Color Chart)
ในเมืองไทยเรียกระดับน้ำ หรือ สี ว่า
(D=100% E=99% F=98% G=97% H=96% ตามลำดับลงไปเรื่อยๆ)
ตารางระดับความสะอาด (Clarity Chart)
Sumali ให้ผู้ผ่านดูตารางระดับเกรดประกอบแบบคร่าวๆ เพื่อง่ายแก่การทำความเข้าใจค่ะ แล้วเราค่อยมาพูดถึงรายอะเอียดกัน เพราะเหล่านี้จะไปอยู่ในบทที่ผู้อ่านควรต้อง มาทำความรู้จักกับกฎที่ควรรู้ก่อนที่จะซื้อเพชร คือ 4 Cs ค่ะ
เพชรที่ Costco ค่อนค้างได้ถูกการคัดสรรมาเรียบร้อยแล้ว เพราะเค้าใช้เกรดเพชรเริ่มต้นอยู่ในระดับ I-vs2 คือต่างหูทั้งคู่เป็นเพชรเกรดเดียวกันหมดทั้งสีทั้งความสะอาดเหมือนกัน แหวนเพชรแถวก็เหมือนกัน ถ้าเขียนไว้ I-vs2 เพชรทุกเม็ดที่ฝังไว้ก็เป็นเกรดเดียวกันหมด แต่ก็มีบ้างที่เค้าติดป้ายไว้ H-I vs2 เช่น สร้อยคอที่มีเพชรจำนวนหลายเม็ด น้ำเพชรจะอยู่ในระดับ 2 สีคือ H (96%) กับ I (95%) แต่ความสะอาดอยู่ระดับเดียวกัน ก็เพื่อต้องการลดมูลค่าของสร้อยนั้นลง ไม่นั้นถ้าใช้เพชรเกรดสี H (96%) หมดทุกเม็ด จะทำให้สร้อยเส้นนั้นราคาสูงมากค่ะ เพราะเกรดสีกระเถิบขึ้น H (96%) ราคาจะกระโดดพรุ่งสูงค่ะ เพราะอันที่จริงแล้วเพชรเกรดสี H (96%) จำแนกระดับไว้ว่า เป็น “white” มาตั้งแต่ตนแล้ว เพียงแต่ GIA มาจัดกลุ่มน้ำ H กับ I อยู่รวมกัน .....ที่ Costco เค้าจึงเขียนบอกไว้ทำนองว่า.... “เข้าได้คำนวณราคา และคัดสรรคุณภาพทั้งน้ำ และความสะอาดของเพชรแล้วว่าอยู่ในระดับที่สมดุลกัน คุ้มกับการบริโภคที่สุด หรือผู้บริโภคได้รับประโยคสูงสุด”..... แต่ Sumali ว่า น้ำ I (95%) ยังเห็นติดสีเหลืองอยู่ค่ะ...แต่ถ้านำไปใช้กับทองสีเหลือง...ก็โอ.เลยค่ะ.... “เธอจะกลมกลืนเข้ากันดี”
ที่ Sumali พูดมานั้น สังเกตุได้ว่า จะไม่พูดถึง Cut (การเจียระไน) ของเพชรเม็ดเล็กๆ เลย เพราะเกี่ยวข้องกับการตลาด และระดับความจำเป็นกับไม่จำเป็นค่ะ ต้องให้ผู้บริโภคใช้ดุลยพินิจในการมองด้วยสายตาของตนเองในการตัดสินใจ (มองด้วยสายตาตนเองอาจเกิดความไม่แน่นอน...แต่ถ้ามีเพชรเกรดเดียวกัน ขนาดใกล้เคียงกันมาวางเปรียบเทียบอยู่ข้างๆ ติด กัน... “โอ.เลยค่ะ”) ดูถึงความเงาแวววาว เล่นไฟ ส่องประกายระยิบระยับของเธอ ไม่นั้นถ้าจะมีการบ่งบอกของคุณค่าการเจียระไนว่าเป็นแบบไหน งามเลิศขนาดไหน ก็ต้องเป็นเพชรที่ได้ถูกตรวจสอบผ่านขั้นตอนตามมาตราฐานสากลมาอย่างละเอียด ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายมากพอสมควรในการเข้าสู่ขบวนการขั้นตอนต่างๆ ตามมาตราฐานสากลที่กำหนดไว้นั้น ซึ่งเพชรแต่ละเม็ดนั้นๆ ต้องบวกราคามูลค่าเพิ่มอีกเยอะ ก็จะมีราคาสูงเมื่อเข้าสู่ตลาดผู้บริโภค แถมยังต้องบวกค่าหน้าร้าน และกำไรของผู้ขายเอง “เคยได้เกริ่นไปคร่าวๆ บ้างแล้วใช่มั้ยคะ?” ว่าไม่คุ้มเลยกับเพชรเม็ดเล็กๆ ที่ต้องมาจ่ายแพงขนาดนั้น ยกเว้นเพชรที่เริ่ม .30 ตังค์ขึ้นไป หรือ จะใช้ .40 ตังค์ขึ้นไปก็ได้ ควรใช้เพชรที่มาพร้อมกับใบเซอร์ ( Diamond certificate หรือ diamond report ) เพราะเริ่มเม็ดใหญ่แล้ว เริ่มมีมูลค่าสูงแล้ว.... ขืนไม่ใช้เธอที่มากับใบรับรองจากสถาบันอัญมณีศาสตร์ที่มีมาตราฐานระดับสากล....เราเองอาจต้องสูญเสียเงินเกินมากกว่าคุณค่าในตัวเธอเยอะค่ะ
ให้ผู้บริโภคใช้วิจารณญาณในการมองด้วยสายตาตนเองในการตัดสินใจ
(มองด้วยสายตาตนเองอาจเกิดความไม่แน่นอน...แต่ถ้ามีเพชรเกรดเดียวกัน
ขนาดใกล้เคียงกันมาวางเรียงปรียบเทียบอยู่ข้างๆ ติดกัน...”ก็โอ.เลยค่ะ”)
ก็เคยมีเหตุการเกิดขึ้นกับตัว Sumali เองว่า....มีลูกค้าคนไทยซึ่งรู้จักกันไม่นานเท่าไหร่นัก ขณะที่เรากำลังสนทนาเรื่องเพชรกันอยู่ เค้าโชว์แหวนเพชรแถวที่นิ้วมือให้ดู ซึ่งเค้าบอกว่า “ซื้อมาจากร้านมีชื่อดังที่เมืองไทย (หน้าจะเป็นร้านมีชื่อในละแวกนั้น เพราะไม่เห็นยี่ฮ้อ) และเค้าก็เป็นลูกค้าประจำ” Sumali ดูแล้วก็สวยน๊ะ ขาว เงาวาวเชียว....เผอิญตอนนั้นมีแหวนเพชรแถวของลูกค้าอยู่ในกระเป๋าสะพายพอดี ก็เลยหยิบออกมาเทียบดู.....สักพักนึงก็ได้ยิงเสียงมาจากปากเค้าว่า “ไอ้บ้า...ของกูหมองเลย!” หลังจากนั้น Sumali ก็ได้ไปสอบถามเพื่อนคนอินเดีย ที่เป็น Diamond dealer กว่าจะเจอเค้าได้ก็เล่นเอาต้องมีโวยพนักงานไปหลายคนเหมือนกัน “ไม่รู้พวกเค้าจะแอบชมอะชั้นรึเปล่าว่า “Golden Sumali” ...”อย่าให้รู้น่ะ”...คริ คริ... ไหนจะผ่านพวกเซลแมน ไหนจะผ่านเรขา...ต่างคนต่างรีบ.... จริงๆ แล้ว Sumali เป็นคนใจดีใจเย็นนะคะ “แค่เดินเข้าโรงงานที ลูกน้องกลืนบุหรี่กันหมดเลย”...คริ คริ... นี่ว่าต่อไปนี้ใครสูบบุหรี่ จะจับย้ายไปอยู่โรงงานที่ต่างจังหวัด หรือไม่ก็ให้ไปอยู่ในพม่า เพื่อจะได้ลดมลพิษในกรุงเทพ...แต่กลัวไปเพิ่มมลภาวะหนี้สินให้ตัวเองแทนค่ะ...คริ คริ”
Sumali จึงได้รู้ความจริงอีกอย่างนึง ซึ่งมีความสำคัญมากในการซื้อเพชรที่ไม่ควรละเลยอย่างเด็ดขาด อย่าว่าแต่ฟันเลยค่ะ “สับธง” เลยดีกว่า....คือ Cut (การเจียระไน) บอกตรงๆ ถ้าคิดจะซื้อเพชรอย่าได้คิดเหมือนลูกค้ากลุ่มตลาดล้างทั่วไป (ในเชิงการตลาด) ที่ให้ความสำคัญที่ สีหรือน้ำ (Color) และ ขนาดน้ำหนัก (Carat) คือจะเอาขาวและใหญ่ไว้ก่อน นอกนั้น...ช่างมัน....”Sumali เสียดายเงินแทน”....ยอมเพิ่มเงินอีกนิด หรือ ลดขนาดกะรัต และ ลดสี เพียงเล็กน้อย ก็ได้ของดีที่ครบคุณลักษณะของเธอผู้ล้ำค่าดีกว่าค่ะ ส่วนในเมืองไทยโดยทั่วไปจะแยกคุณภาพการเจียระไนของเพชรที่ไม่มากับใบเซอร์ว่าเป็นเพชร อินเดียคัท ซุปเปอร์อินเดียคัท และเบลเยียมคัท ซึ่งสนนราคาต่อกะรัตก็ต่างกัน ซึ่งซุปเปอร์อินเดียคัทกับเบลเยียมคัทเม็ดเล็กๆ แถมจะมองไม่เห็นความแตกต่างกันเลย แต่ถ้าเม็ดยิ่งใหญ่ก็ยิ่งเห็นถึงความแตกต่างมากขึ้นตามด้วยค่ะ ส่วนที่เมืองไทยที่เค้าพูดกันว่า อินเดียคัท อาจเป็นเพราะว่า เริ่มแรกเพชรมาจากอินเดีย และอินเดียวก็เป็นประเทศที่เจียระไนเพชรออกสู่ตลาดโลกจัดว่าเป็นอันดับหนึ่งมากที่สุดในโลก ถ้าเทียบอัตราส่วนของการผลิตในท้องตลาดแล้ว ผู้คนทั่วไปบนโลกที่ใส่เพชรบนนิ้วมือไม่ว่าจะซื้อเพชรจากร้านแบรนเนมชื่อดังใดๆ ทุกที่ทุกมุมในตลาดโลกก็อาจเป็นเพชรที่เจียระไนมาจากประเทศอินเดียก็เป็นได้ เพราะอัตราส่วนในการผลิตออกสู่ตลาดโลกของประเทศอินเดียแล้วมีมากถึง 90% ของตลาดเพชร ส่วนที่เราเรียกว่า เบลเยียมคัท เพราะประเทศเบลเยียมเป็นผู้นำเรื่องเกี่ยวกับเพชร ซึ่งมีประวัติยาวนานมา 5-6 ร้อยปีได้ ที่ทำอุตสาหกรรมเพชรและพัฒนามาตลอดจนถึงปัจจุบัน เนื่องด้วยมองเห็นคุณค่าคุณภาพในการเจียระไนเพชรเป็นสำคัญจึงได้เพชรที่มีคุณลักษณะที่โดนเด่น สวยงาม วิจิตรตระการตามาจวบจนทุกวันนี้ ซึ่งถ้าพูดถึง เบลเยียมคัดแล้ว ก็หมายถึงเพชรที่มีคุณภาพ “very good cut ถึง excellent cut” “ก็จริงๆ ด้วยค่ะ เพราะในใบเซอร์เพชรที่มาจากเบลเยียมเป็นเพชร “excellent cut” หรือไม่ก็ “very good cut” หมดเลย” ....เท่าที่เคยเห็นมา Sumali เห็นมีแต่ 2 “excellent” 1 “very good” หรือบางครั้งก็เคยเห็นเป็นอย่างน้อย 2 “very good” 1 “excellent” ทั้งนั้นเลยค่ะ ก็เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าเพชรเบลเยียมเป็นเพชรที่มีราคาแพง เทียมอัตราส่วนของการสูญเสียเพชรดิบไปในขบวนการเจียระไนแล้วก็อยู่ที่ 5 กะรัต เจียระไนออกมาได้เพชรงามๆ แค่ 3-2.5 กะรัตเท่านั้นเอง ในขณะที่ทั่วไปใช้เพชรดิบ 5 กะรัตจะเจียระไนออกมาได้ 4 กะรัต ....มีประมาณ 5-10% เท่านั้นในท้องตลาดเพชรทั่วโลกที่เจียระไนโดยรักษาคุณค่า คุณภาพของหัวใจของเพชรไว้คงอยู่กับเธอผู้ล้ำค่าอย่างสูงสุด เพื่อให้ผู้บริโภคได้ยลโฉม และภาคภูมิใจที่ได้ครอบครองเธอ แต่ปัจจุบันตามสากลจะไม่ใช้เรียกเบลเยียมคัทกันอีกแล้ว (ก็อาจจะมีหลงเหลือบ้างตามวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละประเทศ อย่างเช่นประเทศไทย) เพราะได้มีการกำหนดวิธีที่ประเมินคุณภาพ และคุณค่าในตัวเธอเพื่อให้ผู้บริโภคได้ทำความเข้าใจกับเพชรโดยมีตารางจัดลำดับระดับเกรดต่างๆ ของเพชร อาทิ น้ำหรือสี ความสะอาด กะรัต และการเจียระไน ที่เรียกว่า 4 Cs เพื่อเป็นแนวทางทำความเข้าใจ และเห็นถึงคุณลักษณะ คุณภาพ คุณค่า และมูลค่า เพื่อใช้ในการตัดสินใจบริโภคเพชรเม็ดนั้นๆ ว่าคู่ควรกับความรักที่เรามีให้เค้า หรือให้เรา และเหมาะสมกับสภาพคล่องและฐานะของเราด้วยหรือเปล่า “ในความเป็นจริงแล้วก็มีเพิ่มมาอีก 2 Cs นะคะเป็นกฎของผู้บริโภคอะค่ะ...คือ “certificate กับ cash” ค่ะ” โอกาสหน้าอะชั้นจะบอกถึงกลเม็ดในการเลือกซื้อเพชรให้ทราบนะคะ....รับรอง “แจ่มเลย”
ในเมืองไทยโดยทั่วไปจะแยกคุณภาพการเจียระไนของเพชรที่ไม่มากับ
ใบเซอร์ว่าเป็นเพชร อินเดียคัท, ซุปเปอร์อินเดียคัท และเบลเยียมคัท
ส่วนซื้อเพชรในอเมริกาบางที่ โดยเฉพาะใน Website online เม็ดเล็กเม็ดใหญ่ก็มีใบเซอร์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี แต่ที่เม็ดถูกหน่อย เพราะเกี่ยวกับองศาของเพชร หน้ากว้างหน้าแคบ สัดส่วนยังไม่ได้พิกัดสมส่วนอย่างเต็มที่ และไม่ใช้ว่าเพชรที่ได้เกรด 3 Excellent แล้วจะเป็นเพชรที่สมบูรณ์สุด....ยังค่ะยังได้ Light return หรือ BFS (Brilliance, Fire & Scintillation) ไม่เต็มที่..... “อ้าว! อากาศร้อนอีกแล้ว....มีมาให้กระตุ้นต่อมยากรู้ยากเห็นเพิ่มขึ้นมาอีก....ยังก่อนค่ะ....รออีกนิดเดี๋ยวรอให้ถึงหัวข้อก่อนนะคะ”......และอีกอย่างนึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้อ่านควรรับรู้ไว้เพื่อพิจารณาด้วยนะคะเกี่ยวกับเพชรใน โลก online เพราะที่มันค่อนค้างถูก เนื่องด้วยมีจำนวนเพชรเก็บไว้มาก หรือสามารถนำมาจากที่อื่น อาจเป็นทั้งตัวแทนรับฝากขาย การรวมตัวกันของกลุ่มผู้ขาย หรือเป็นตัวแทนจำหน่ายของบริษัท และโรงงาน โดยที่มีการตรวจสอบเพชรโดยบุคลากรที่ได้ล่ำเรียนจบมาจากสถาบันที่มีชื่อ และสามารถออกใบเซอร์ได้ ซึ่งใช้คำเรียกว่า In house “(ในเมืองไทยเองก็มีเหมือนกันนะคะ)” คือแต่ละที่จะมีผู้เชี่ยวชาญทำงานประจำให้กับบริษัทนั้นๆ ไม่ก็เป็นหุ้นส่วน หรือเจ้าของเองในที่นั้น และพวกเค้าเหล่านั้นอยู่ในสถานะภาพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนได้ส่วนเสียซึ่งไม่เป็นอิสระ ย่อมมีส่วนได้รับอิทธิพล และชี้นำจากทีมงาน และตัวเอง “มันจะเข้าข้างพวกเดียวกันรึเปล่าเนี่ย?”.....อีกอย่าง หลายๆ คนก็คงมีประสพการณ์เกี่ยวกับการสั่งของตามออนไลน์มาบ้างแล้ว....”ควรระวังหน่อยค่ะ เพราะ Sumali ได้ตรวจดูหลาย Website แล้ว “อัตราเสี่ยงสูงมากในการถูกต้ม” ดูจากเพชรที่เค้าเขียนว่า Ideal cut, Super Ideal Cut, Signature Ideal cut, Superior cut “มันใช้คำอลังการจริงๆ” หลายต่อหลายครั้งสังเกตุดูเพชรที่นำมาลงไว้ในเว็บ มักไม่ได้สัดส่วน เปอร์เซนต์ องศา ของการแบ่งพื้นที่ในตัวเพชรเลย เช่น สัดส่วนของ Table (เหลี่ยมด้านบนที่กว้างที่สุด) สัดส่วนของ Pavilion (ส่วนครึ่งท่อนล้าง) “บ่...แม่นน” และอีกอย่างที่สำคัญ....แต่ละเว็บไซต์หลายต่อหลายที่มักเขียนเชิงเชื้อเชิญ....ว่าตนเองเป็น Wholesale ที่สามารถให้ราคาขายส่งต่อผู้บริโภคได้....ไม่จริงนะคะ! เพราะกฏหมายห้ามไม่ให้ Wholesaler นำสินค้ามาโฆษณาขายให้ผู้กับบริโภคโดยตรง....จะให้เฉพาะขายส่งต่อ Retailer เท่านั้น.....ถ้าเกิดการซื้อขายขึ้น...นั้นหมายถึงว่า...ผู้บริโภคที่เสี่ยงซื้อเพชรตามอินเทอร์เนท ได้ควักเงินในกระเป๋าจ่ายในราคาของ Retail price (ค้าปลีก) ผู้ซื้อก็ควรต้องมีความรู้อย่างพอสมควรเรื่องราคากลางของเพชร (Rapaport) อัตราการแลกเปลี่ยนเงินสกุล US dollar และคุณลักษณะของเพชรต่างๆ เรื่องกฏของ 4 cs ส่วนสัดองศาของเพชร ที่มาที่ไปของเพชร การใช้ดุลยพินิจในการมองเห็นด้วยตาของเราเอง และความรู้เกี่ยวกับคุณภาพ และคุณค่าของใบรับรองแต่ละสถาบัน รวมถึงเป็นเพชรชนิดไหน....ไม่ว่าจะเป็น Premium diamond, Discount diamond, Diamond treated, Nature diamond, Simulated diamond, Synthetic diamond, Moissanite diamond และ Conflict diamond เป็นต้น
ไม่ใช้ว่าเพชรที่ได้เกรด 3 Excellent แล้วจะเป็นเพชรที่สมบูรณ์สุด
ยังได้ Light return และ BFS ไม่เต็มที่
เพชรสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 จำพวกคือ Premium diamond และ Discount diamond
Premium diamond เป็นเพชรปกติซึ่งมีตำหนิ (Inclusions) และมลทิน (Blemishes) เกิดขึ้นจากธรรมชาติทั้งอยู่ในตัวเพชร และด้านผิวนอกเพียงเล็กน้อย เช่น แร่ธาตุบางอย่างที่อยู่ในตัวเพชร ทั้งเป็นอุปสรรค์ในการเดินทางของแสงและไม่เป็น ทั้งมีและไม่มีส่วนกระทบในการเดินทางของแสงทั้งเข้าและส่องออกกลับเข้าสู่ตา (แต่ไม่มากนัก).... และอาจมีบ้างที่เกิดขึ้นจากขณะผ่านขบวนการเจียระไน เช่นมีรอยร้าว รอยบิ่น รอยขูด เหลี่ยมเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยพอสมควร ในกรณีเหล่านี้ก็จะจัดอยู่ในระดับของความสะอาด (Clarity) กับ การเจียระไน (Cut) แต่ละระดับไป แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่แย่เกินงาม มีการเจียระไนที่ได้สัดส่วน เล่นไฟระยิบระยับ แวววาว มีความสวยงาม ยังคงไว้ซึ่งมนต์เสน่ต์ตราตรึงใจให้กับผู้พบเห็น
ยังมีขนาด (กะรัต) ของเพชรที่เรียกว่า Premium size คือเพชรที่มีขนาดใหญ่ในแต่ละช่วงราคา ซึ่งเพชรพรีเมี่ยมไซส์นั้นค่อนค้างหายาก เนื่องจากมีจำนวนน้อย เพราะหมายถึงเราได้เพชรที่มีขนาดใหญ่ แต่คิดสนนราคาจากช่วงราคาที่เท่ากัน ราคายังไม่กระโดดข้ามไปอีกช่วงถัดไป เพชรพรีเมี่ยมไซส์คือเพชรที่มีขนาดดังนี้....0.35-0.39 ct, 0.45-0.49 ct, 0.60-0.69 ct, 0.80-0.89 ct, 0.95-0.99 ct, 1.30-1.49 ct, 1.80-1.99 ct เป็นต้น ซึ่งเพชรขนาดกะรัตเหล่านี้จะหาในตลาดอยาก และในการซื้อขายระหว่าง Wholesaler กับ Retailer จะไม่ค่อยได้ส่วนลดเปอร์เซนต์ ซึ่งก็ต้องตกเป็นผลต่อไปถึงผู้บริโภคด้วยค่ะ เพชรจะมีราคาค่อนข้างสูง เพราะขนาดของเพชรดูด้วยตาเปล่าไม่ค่อยแตกต่าง หรือดูเหมือนเท่ากันกับเพชรของในช่วงที่ราคาเพชรต่อกะรัตเปลี่ยนสูงขึ้นไป (ราคาเพชรจะมีเปลี่ยนไปตามกำหนดแต่ละช่วง นับเป็นราคาต่อกะรัต โดยนำมาเทียบกับโอกาสยากที่จะสามารถขุดพบเพชรได้ ซึ่งเฉลี่ยต้องขุดหินขุดดินถึงจำนวน 250 ตันจึงสามารถได้เพชรน้ำงาม 1 กะรัต)
เพชรจะมีราคาค่อนข้างสูง เพราะขนาดของเพชรดูด้วยตาเปล่าไม่ค่อยแตกต่าง
หรือดูเหมือนเท่ากันกับเพชรของในช่วงที่ราคาเพชรต่อกะรัตเปลี่ยนสูงขึ้นไป
เพชรดีๆ หรือพวก Premium diamond ส่วนมากพวกเธอจะอยู่ในร้านค้าหรูหรา มีชื่อเสียง มียี่ฮ้อดัง และอยู่ในช้อปปิ้งมอลล์ในเขตที่ผู้มีฐานะดี มีทั้งเพชรที่ผ่านการตรวจสอบจากห้องแลปของสถาบันที่เป็นอิสระต่างๆ มีชื่อเสียงระดับโลก หรือไม่ก็เพชรที่ได้รับการตรวจสอบโดยผ่านขบวนการขั้นตอนต่างๆ ตามหลักสากลจากแลปที่ไม่อิสระ ที่เรียกกันว่า In house ....โดยเพชรเหล่านี้จะมีหลากหลายโดยที่มีการตรวจสอบจากนักธรณีวิทยาเพื่อจัดระดับเกรดสี ความสะอาด และการเจียระไนแต่ละระดับต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว มียี่ห้อต่างๆ ประดับไว้ที่ตัวเรือน เช่น Tiffany, Chopard , Cartier, Dee Beers และ Bvlgari เป็นต้น ซึ่งสินค้าจะมีราคาสูง เน้นในเรื่องคุณภาพ การออกแบบ สวยเก๋ ผู้บริโภคมีโอกาสได้เลือกสรรแบบใหม่ๆ ทันสมัยมากมาย ได้รับความสะดวกในการบริการด้านต่างๆ ทั้งก่อนซื้อ และหลังการขาย รวมถึงให้ความมั่นใจในการซื้อสูง....ก็ย่อมให้เราต้องควักเงินในกระเป๋ามากหน่อย “ก็ของเค้าสวย ดูหะ...รู...หะ...รา...นี่นา!” ....ไหนจะค่าสถานที่ ค่าบริการต่างๆ รวมถึงค่าโฆษณาในการสร้างความเชื่อมั่น หรือที่เรียกว่า “Successful Marketing Strategy” (ผลสำเร็จในการวางยุทธศาสตร์ทางการตลาด) แน่นอนผู้บริโภคย่อมต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย ซึ่งอาจเป็นมูลค่าถึง 30-40 % ของราคาสินค้าชิ้นนั้น หรืออาจมากกว่านี้.....ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจแล้วแต่ปัจเจกบุคคลที่จะเลือกบริโภคแบบไหน บ้างก็มองถึงหลักปัจจัญสำคัญๆ หรือความเป็นจริง บ้างก็อยู่ในโลกแฟชั่น อินกับของแบรนเนม “ส่วน Sumali เองก็อินแบรนเนมบ้างเหมือนกันค่ะ...แต่อินกับสามีมากกว่า เพราะแววประกายจากสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงหาทั้งคู่ของเค้าชำเลืองมองเราอยู่ตลอด แถมอมยิ้มแบบว่า.... “ถ้าหมึงซื้ออีก?...โดนตูแน่!”....ยังรู้สึกตื่นเต้นและลังเลอยู่เลยค่ะ...ไม่รู้ว่าจะโดนอาราย...คริ คริ”
หรือที่เรียกว่า “Successful Marketing Strategy” (ผลสำเร็จในการวาง
ยุทธศาสตร์ทางการตลาด) แน่นอนผู้บริโภคย่อมต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย
ซึ่งอาจเป็นมูลค่าถึง 30-40 % ของราคาของชิ้นนั้น หรืออาจมากกว่านี้
หน้าที่เข้าชม | 144,924 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 80,911 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ม.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 10 ก.ย. 2568 |